nine&max

สวัสดีครับทุกท่าน ขอบพระคุณที่เข้ามาชมเว็บบล็อกของเรา พวกเรามีความรู้สึกดีที่ท่านได้เข้ามาชมและอีกทั้งเราจะรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจให้ท่านมารับชม ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พระวิษณุ


พระวิษณุ (อังกฤษVishnuอักษรเทวนาครี : विष्णु) หรือที่รู้จักกันในพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า พระนารายณ์ เป็นหนึ่งในสามมหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง (โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")
โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะทรงบรรทมอยู่บนหลังอนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือ พระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้างๆเสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ
พระวิษณุ มีอีกพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ
  • พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก
  • พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล
  • พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม

[แก้]
ในคัมภีร์
ไวษณพนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่) กล่าวว่าเมื่อยามที่พระวิษณุผู้เป็นใหญ่แห่งจักรวาลมีประสงค์จะสร้างโลกทั้ง 3 นั้น ท่านได้เห็นว่าการสร้างโลกทั้ง 3 นี้ เป็นงานที่หนักสำหรับคนเพียงคนเดียว ท่านจึงแบ่งบางส่วนของร่างกายพระองค์ออกเป็นมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ โดยแขนซ้ายเป็นพระพรหม แขนขวาเป็นพระศิวะ และส่วนอกเป็น พระวิษณุ (แม้แต่ในรูปตรีมูรติ ก็จะเห็นว่า พระพักตร์ของพระวิษณุจะอยู่ตรงกลางเสมอ)การกำเนิดของพระวิษณุ

ส่วนในคัมภีร์ของไศวนิกาย (นับถือพระศิวะเป็นใหญ่) จะกล่าวต่างออกไปคือ “พระปรเมศวร” (พระศิวะ) เป็นผู้สร้างพระวิษณุ เนื่องจากทรงมีพระประสงค์จะสร้างสวรรค์และโลก ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ จึงได้ทรงต้องการผู้ช่วย โดยการนำหัตถ์ซ้ายมาลูบหัตถ์ขวา จึงบังเกิดเป็นเทพชื่อ “พระวิษณุ” หรือ “พระนารายณ์” พระปรเมศวร ได้สอนศิลปะด้านต่าง ๆ ให้กับพระวิษณุ ในทุกด้าน และให้ประทับอยู่ ณ เกษียรสมุทร เมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกมนุษย์ หรือสวรรค์เมื่อใด พระวิษณุก็จะมีหน้าที่ไปปราบปรามเหล่าอสูร และผู้ประสงค์ร้ายนั้น ๆ โดยในบางคราวก็จะได้รับการร้องขอจากเหล่าเทพเทวดาบ้าง
คัมภีร์มหาภารตะ เล่าไว้ถึงพระนารายณ์ว่าแต่เดิมคือฤๅษีตนหนึ่ง เป็นบุตรของฤๅษีธรรมมะ ได้เดินทางจากโลกมนุษย์ ไปสู่สถานที่ของพวกพราหมณ์พร้อมเพื่อนสนิทนามว่า “นร” เพื่อบำเพ็ญเพียรจนได้รับการเคารพบูชาจากเทพเทวดาทั้งมวล ต่อมาได้รับการขอร้องจากเหล่าเทวดาให้ช่วยปราบอสูรที่สร้างความเดือดร้อน ฤๅษีทั้งสองจึงได้รับปากช่วยเหลือโดยได้ออกรบกับอสูรจนได้รับชัยชนะ จึงได้รับความเคารพนับถือจากเหล่าเทวดายิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน จนภายหลังฤๅษีนารายณ์ได้ออกเดินทางไปบำเพ็ญตนยังหิมาลัยจนบรรลุผลเป็นพราหมณ์ (ผู้รู้แจ้งทุกสิ่งในโลก) และได้เป็นผู้นำเหล่าพราหมณ์ในเวลาต่อมา จากการยกย่องบูชาตลอดที่ผ่านมาจนเป็นที่รู้จักในนาม “พระวิษณุ (นารายณ์) ”
พระนามของพระวิษณุ พระนารายณ์ มีผู้ขนานนามเรียกขานจากความแตกต่างกันตามความเชื่อ พระนามตามฤทธิ์อำนาจ และตามเหตุการณ์ที่ต่างกันตามกาล อาทิ อนันตะ ไม่สิ้นสุด จตุรภุช มี 4 กร มุราริ เป็นศัตรูแห่งมุระ นระ (นะระ) ผู้ชาย นารายณ์ ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ ปัญจายุทธ พระผู้ทรงอาวุธทั้ง 5 อย่าง ปีตามพร ทรงเครื่องสีเหลือง ทโมทร มีเชือกพันเอาไว้รอบเอว กฤษณะ, โควินทะ, โคบาล ผู้เลี้ยงวัว ชลศายิน ผู้นอนเหนือน้ำ พระพิษณุหริ ผู้สงวน อนันตไศยน นอนบนอนัตนาคราช ลักษมีบดี ผู้เป็นสามีของพระลักษมี วิษว์บวร ผู้คุ้มครองโลก สวยภู เกิดเอง เกศวะ มีผมอันงาม กิรีติน ผู้ใส่มงกุฎ พระวิษณุ พระนารายณ์ ทรงประทับบนสวรรค์ เรียก ไวกูณฐ์ พาหนะ คือครุฑ พระวรกายสีนิล ฉลองดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎ อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์จักร ตรี คทา บ้างก็กล่าวไว้ว่าทรงถือ ดอกบัว ลูกศร ดอกไม้ หรือเชือกบ่วงบาศ หรือสายฟ้า อาวุธประจำที่ใช้ คือ สังข์ จักร คทา ธนู และพระขรรค์

[แก้]ความสำคัญด้านศาสนา-ลัทธิ

เมื่อลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งนับถือว่าพระวิษณุทรงเป็นใหญ่เหนือมหาเทพทั้งหลายในตรีมูรติ มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์คุปตะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3-6 และกษัตริย์อินเดียในราชวงศ์นี้ส่วนมากจะนับถือลัทธินี้ และทรงรับลัทธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และเอาถือว่าการอวตารขององค์พระวิษณุ เป็นหัวใจที่สำคัญของลัทธิภควตา (Bhagavata) ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์คุปตะและเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับแม้ว่าราชวงศ์คุปตะจะเสื่อมลงแล้วก็ตามลัทธินี้ก็ยังคงอยู่ ชาวฮินดูยังเคารพบูชาปางอวตารของพระวิษณุกันมาก แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการนับถืออยู่
การอวตาร (Avatar) หรือในภาษาอังกฤษว่า “Incarnation” แปลว่า “การลงมา” คือการลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือ “การเข้าในร่างของมนุษย์” หมายถึง พระวิษณุเสด็จลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เป็นภาคเป็นตอนต่าง ๆ กันเพื่อปราบยุคเข็ญในโลกให้หมดสิ้นไป ถือเป็นปฏิบัติการอันสำคัญยิ่งของพระวิษณุ เมื่อมียุคเข็ญเกิดบนโลกมนุษย์ พระวิษณุก็จะอวตารลงมาช่วยขจัดปัดเป่าเสีย

[แก้]การอวตารของพระวิษณุ

"ทศาวตาร" หรือ "นารายณ์สิบปาง" หรือ อวตารทั้งสิบของพระวิษณุ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย (นับเวียนตามเข็มนาฬิกา) มัตศยาวตาร (ปลา), กูรมาวตาร (เต่า), วราหาวตาร(หมูป่า), วามนาตาร (พราหมณ์ค่อม), กฤษณาวตาร (พระกฤษณะ),กัลกยาวตาร (อัศวินม้าขาว), พุทธาวตาร (พระศากยโคดมพุทธเจ้า),ปรศุรามาวตาร (รามผู้ถือขวาน), รามจันทรวาตาร (พระราม), นรสิงหาวตาร (นรสิงห์, คนครึ่งสิงห์) ส่วนรูปตรงกลางเป็นรูปพระกฤษณะและเหล่าสาวก
การอวตารของพระวิษณุนั้นทรงอวตารเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์ และการอวตารของพระองค์จะเป็นไปตามศิวะโองการ (คำสั่งของพระศิวะ) และการอัญเชิญขอร้องของหมู่เทวดา การอวตารของพระวิษณุบ้างก็ว่ามีมากจนนับได้ยาก แต่ปางที่มีจุดประสงค์เพื่อมาช่วยเทวดา และมนุษย์โลกนี้มีทั้งหมด 25 ปาง แต่ปางที่ถือเป็นปางที่สำคัญที่สุดมี 10 ปาง ดังนี้
  • ปางที่ 1 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลา) เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์และสัตว์ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก
  • ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่า) เพื่อช่วยเหล่าเทวะและอสูรกวนเกษียรสมุทร
  • ปางที่ 3 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูป่า) มีสองตำนานหลักๆคือ 1) เพื่อปราบอสูรนาม"หิรัณยากษะ"ซึ่งลักเอาแผ่นธรณีไปโดยการม้วนแล้วเหน็บไว้ที่ข้างกาย และ 2) เพื่อยุติการประลองพลังอำนาจกันระหว่าง พระศิวะ และ พระพรหม
  • ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นนรสิงห์) เพื่อปราบอสูรนาม "หิรัณยกศิปุ" ผู้เป็นน้องชายของ "หิรัณยากษะ"
  • ปางที่ 5 วามนาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย) เพื่อปราบอสูรนาม "พาลี" ผู้เป็นเหลนของ "หิรัณยกศิปุ"
  • ปางที่ 6 ปรศุรามาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์ผู้ใช้ขวานเป็นอาวุธ) เพื่อปราบกษัตริย์ (ผู้เป็นมนุษย์) นาม "พระเจ้าอรชุน" หรือ "พระเจ้าสหัสอรชุน" ผู้มีใบหน้า 1พันหน้า ผู้ก่อยุคเข็ญและทำลายล้างศาสนา
  • ปางที่ 7 รามาวตาร หรือ รามจันทราวตาร (อวตารเป็นพระราม กษัตริย์แห่งอโยธยา) เพื่อปราบอสูรนาม "ราวณะ" หรือ "ราพณ์" หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "ทศกัณฐ์" กษํตริย์ แห่งกรุงลงกา - ปางนี้เป็นหลักในการจัด จารีต และ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของสังคมอินเดีย
  • ปางที่ 8 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ) เพื่อขับรถม้าให้ "พระอรชุน" และสอนวิถี และวิธีการดำเนินชีวิต ให้แก่พระอรชุน
  • ปางที่ 9 พุทธาวตาร (อวตารเป็นพระพุทธเจ้า) ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าพระนารายณ์อวตารในปางนี้เพื่อหลอกลวงให้พวกนอกรีตที่ไม่นับถือวรรณะแยกออกไปจากศาสนาพราหมณ์ ; ในบางแห่งเชื่อว่าปางที่เก้านี้คือ พลรามาวตาร (อวตารเป็นพลราม) หรือพระพลรามซึ่งเป็นน้องชายของพระกฤษณะ เป็นการอวตารคู่กับพระกฤษณะ
  • ปางที่ 10 กัลกยาวตาร หรือ กัลกิยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ผู้ขี่ม้าขาว หรือ กัลกี) เป็นอวตารที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการทำนายอนาคตไว้ว่า ในยามที่เป็นปลายแห่งกลียุค ที่ที่เมื่อผู้คนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกต่อไป โลกทั้งโลกต้องเผชิญกับยุคเข็ญไปทุกหย่อมหญ้า จะมีบุรุษขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นเพื่อปัดเป่าความทุกข์ยาก และนำธรรมะกลับมาสู่มวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง

[แก้]ปางอื่นๆที่น่าสนใจ

  • อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางอัปสร หรือ นางฟ้าผู้เลอโฉม) เพื่อหลอกล่อเหล่าอสูร เพื่อให้เหล่าเทวดาได้ดื่มน้ำอมฤตที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทร เพื่อเทวดาจะได้เป็นอมตะและมีฤทธิ์เหนืออสูร
  • นารัตอวตาร (อวตารเป็นเทวฤษีนารัต) เพื่อให้ความรู้ สั่งสอน และชี้แนะแก่ มวลเทวะ มวลมนุษย์ และ หมู่มวลอสูร

[แก้]พระนารายณ์ 10 ปาง ในพระพุทธศาสนา

ในพระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงพระนารายณ์แต่ประการใดทั้งสิ้น แต่อาจเป็นไปได้ว่าชาวพุทธไม่ชอบการที่ฮินดูนำพระศาสดาของพุทธ ไปเป็นอวตารปางหนึ่งของมหาเทพของเขา (พุทธาวตาร) จึงมีการสลับปางที่ไม่สำคัญเข้ามาแทน
  1. ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร)
  2. ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
  3. ปางที่ 3 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
  4. ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
  5. ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
  6. ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
  7. ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
  8. ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
  9. ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
  10. ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว)

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คำกล่าวทักทาย(ภาษาอาเซียน)

คำกล่าวทักทาย (ภาษาอาเซียน)
บรูไน
ซาลามัต ดาตัง
อินโดนีเซีย
ซาลามัต เซียง
มาเลเซีย
ซาลามัต ดาตัง
ฟิลิปปินส์
กูมุสตา
สิงคโปร์
หนีห่าว
ไทย
สวัสดี
กัมพูชา
ซัวสเด
ลาว
สะบายดี
พม่า
มิงกาลาบา
เวียดนาม
ซินจ่าว

ค่ายคอมพิวเตอร์

วันนี้สนุกมากมากเลยมีทั้งเกมส์และที่เล่นต่างๆห้องแอร์ก็เย็นสบายมีทั้งอาหารว่างที่อร่อยและอาหารกลางวัน คือ ผัดกระเพา เผ็ดมากๆๆๆๆๆๆ55+วันนี้สนุกมากๆเลยได้ทั้งความรู้ใหม่ๆที่ยังไม่เคยรู้จึงต้องขอบคุณคุณครูที่ให้ความรู้ต่างๆให้พวกผม ขอบคุณครับ

พระศิวะ

พระศิวะ หรือพระอิศวร มหาเทพแห่งการทำลายล้าง
image from photobucket.com
พระศิวะ (คนไทยเรียกว่า พระอิศวร) เป็นบิดาของ พระพิฆเนศ มีชายาคือ พระแม่อุมาเทวี พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล หนึ่งใน ตรีมูรติ หรือ 3 มหาเทพสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ)

พระองค์ทรงประทานพรวิเศษให้แก่ผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรม หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใดๆ พระองค์ก็จะประทานพรนั้นๆให้ แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงาม ผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพจะเป็นผู้ทำลายทันที!!
มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้น สามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ ได้อย่างมหัศจรรย์นัก!! หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย
ถ้ากระทำการบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน
พระองค์เป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้น ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ด้วยเช่นกัน


พระศิวะผู้เป็นบิดาแห่งพระพิฆเนศและเป็นสวามีแห่งพระแม่อุมาเทวี
ครอบครัวพระศิวะ พระพิฆเนศ พระแม่อุมาเทวี / image from hinduyuva.org
พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความ
อุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ และอาชีพที่เกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุข หากบวงสรวงบชาพระศิวะ...
นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไป จากบทบาทของการเป็นมหาเทพ ผู้ทรงมีพระมหากรุณา ประทานพรแก่มวลมนุึ์ษย์นั้น พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี และการร่ายรำ ระบำฟ้อนอีกด้วย

พระศิวะ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งการทำลายล้าง
พระองค์เปี่ยมไปด้วยอำนาจ พระพักตร์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าเป็นทั้งชาย เป็นทั้งหญิง เป็นทั้งผู้ใจดี เป็นทั้งผู้ดุร้าย จากชิ้นฝุ่นธุลี ไปจนถึงภูเขาหิมาลัย จากมดตัวเล็กๆ ไปจนถึงช้างตัวใหญ่ จากมนุษย์ไปจนถึงพระเป็นเจ้า อะไรก็ตามที่เราสามารถเห็นได้นั้น เป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งหมด
ใน คัมภีร์อุปนิษัท ของฮินดู การท่องคำในพระคัมภีร์ส่วนมากมีคำว่า "ศิโวมฺสวหะ" (ข้าคือศิวะ) หมายความว่า บุคคลผู้มีสติปัญญาทุกๆคน ควรพิจารณาถึงตัวเอง และสิ่งทั้งหลายของสากลโลกเป็นรูปแบบของพระศิวะทั้งสิ้น เมื่อคิดระลึกได้อย่างนี้แล้ว ผู้นั้นก็จะเข้าถึงความสุขความสงบ

กำเนิดของพระศิวะนั้น ปรากฏเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละยุคดังนี้ ยุคพระเวท
เรื่องก็มีอยู่ว่า พระพรหม นั้น เกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนัก ที่พระเสโทหรือเหงื่อผุดซึมทั่วพระวรกาย และยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่น เมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้น ก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูดๆ ที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์ จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมา และหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง
ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิง ก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์ เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้ พลางขอให้พระองค์ประทานนามให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานให้ถึง 8 นามด้วยกันดังนี้
ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร อิศาล อะศะนิ
หลังจากนั้น เทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ ในนามของ พระรุทร อันเป็นชื่อ หนึ่งใน 8 นาม ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ สำหรับนามอื่นๆ อีก 7 นามนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก
ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้ เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้ และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจัง โดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้พระพรหมสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่

เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในสามโลก หนึ่งในตรีมูรติ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ
image from photobucket.com
ยุคมหากาพย์ มหาภารตะ
ในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของ พระพรหม จึงเท่ากับว่า พระศิวะ ก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของ พระพรหม

ยุคไตรเภท

คัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า ทรงประสูติจาก พระนางสุรภี และพระบิดาก็คือ พระกัศยปะเทพบิดร
คัมภีร์พรหมมานัส
พระศิวะเป็นเทพที่กำเนิดจาก พระประชาบดี มิได้เกิดจากพระโลหิตของ พระพรหม ดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ในยุคพระเวท ครั้นเมื่อทรงจุติขึ้นมาแล้วเทพประชาบดีก็ถามพระโอรสว่า เหตุไฉนจึงร่ำไห้โศกาอาดูรตลอดเวลา
พระรุทร หรือเทพบุตรโอรสของพระประชาบดีที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้น จึงได้ทูลตอบว่า เพราะว่าพระบิดาไม่ได้ตั้งชื่อ ให้เมื่อไม่มีชื่อก็จึงเสียใจร้องไห้เช่นนั้น พระประชาบดีจึงได้ตั้งชื่อให้โอรสองค์นี้ว่า พระรุทรซึ่งหมายถึงการร้องไห้ และพระรุทรองค์นี้ในคัมภีร์พรหมนัสได้กล่าวไว้ว่า น่าจะหมายถึงองค์ศิวะนั่นเอง
ในคัมภีร์โบราณ ที่ปรากฏอยู่ในหอวชิรญาณ ได้อธิบายถึงประวัติการกำเนิดของพระศิวะไว้ว่า เมื่อโลกได้ถูกเผาด้วยไฟบรรลัยกัลป์จนพินาศโดยสิ้นแล้วนั้น ได้มี คัมภีร์พระเวทและพระธรรม บังเกิดขึ้น และเมื่อพระเวทกับพระธรรมมาประชุมรวมกัน จึงได้บังเกิดเป็นมหาเทพองค์หนึ่งคือ พระปรเมศวร ในคัมภีร์นี้อธิบายการกำเนิดของพระศิวะว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง หลังจากการทำลายล้างโลก โดยที่มิได้เป็นโอรสหรือจุติมาจากการนิรมิตสร้างสรรค์ของมหาเทพองค์ใด

พระแม่กาลี

"พระแม่กาลี" หรือ กาลิกา (กาลราตรี) นับเป็นปางดุร้ายที่สุดของพระอุมา โดยเป็นรูปสตรีที่มีผิวพรรณดำสนิท มีวรกายอ้วนใหญ่ไม่มุ่นเกศา สยายยาว ประบ่ามิได้รวบขึ้นรัดเกล้าไว้ มี 10 พระกรมีอาวุธร้ายถืออยู่ในทั้ง 10 พระกรนั้น โดยอาวุธที่ใช้คือดาบ ที่ริมฝีปากและวรกายยังมีเลือดไหลหยดเป็นทางยาว และประดับเครื่องแต่งองค์อาภรณ์ไปด้วยสังวาลย์สายที่ร้อยไว้ด้วยหัวอสูรที่ร้อยไว้ดังพวงมาลา ตัดมาจากการฆ่าอีกทั้งยังมีงูตัวใหญ่ร้อยคาดองค์ดั่งสังวาลย์เช่นกัน พระหัตถ์หนึ่งใน 10 ของเจ้าแม่กาลีนี้ได้ถือหัวกระโหลกบ้าง บางแห่งก็ว่าไว้ว่าถือหัวยักษ์ซึ่งตัดใหม่มีเลือดหยดเป็นรอยไหลเป็นทาง พระแม่กาลีในภาคนี้นั้นมี ความดุร้ายเหี้ยมโหดเป็นยิ่งนัก
ปางมหากาลีนี้ ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระแม่กาลีได้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับมาธูอสูร ที่เคยได้รับพรจากพระศิวะว่าให้มีชีวิตเป็นอมตะ หากเลือดมาธูอสูรตกลงถึงพื้นดินก็จะเกิดเป็นอสูรอีกมากมายไม่สิ้นสุด ดังนั้นพระศิวะจึงได้ประทานวิธีให้พระแม่กาลีได้ดื่มเลือดอสูรทุกครั้งโดยที่ยังไม่ทันได้ตกลงถึงพื้นดิน มาธูอสูรจึงถึงแก่ความตายในที่สุด
ปางกาลีนั้นจึงนับเป็นอีกด้านหนึ่งที่แสดงถึงพลังอำนาจในการปกป้องของผู้เป็นเพศแม่ เป็นธรรมชาติของเพศหญิงที่จะมีภาวะกราดเกรี้ยวรุนแรงไร้ขีดจำกัดชนะเหตุผลทั้งปวง ซึ่งถ้ามีภัยอันตรายก็พร้อมจะสู้หรือป้องกันอย่างยิบตา
ด้วยเหตุนี้ปางที่ดุร้ายอย่างพระแม่กาลี จึงกลับเป็นที่นิยมบูชากันมาก เพราะเชื่อว่าทรงพลังอำนาจในการให้พรผู้บูชาด้วยอำนาจอันไม่ยับยั้งว่าด้วยการประทานความสำเร็จหรือมีชัยชนะต่อศัตรู คือถ้าผู้ใดบูชาจนพระนางพอพระทัยก็จะประทานพรมากมายเพราะเป็นปางที่แสดงลักษณะปลดปล่อย จากความเลวร้ายทั้งมวล(เปรียบกับที่ทรงปราบมาธูอสูรผู้ดุร้าย)

ประวัติโดยละเอียด
พระแม่กาลีนี้ได้แบ่งภาคจากการบำเพ็ญตบะของพระอุมาเทวี (บางคัมภีร์ ว่า เสด็จออกมาจากนลาฏ (หน้าผาก) ของพระแม่ทุรคา) โดยทรงมีจุดประสงค์เพื่อปราบอสูรตรหนึ่ง นามว่า อสูรทารุณ ความเป็นมามีว่า อสูรทารุณนี้แม้ว่าจะถูกฆ่าสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันตาย แล้วที่สำคัญกว่านั้นเมื่อเลือดตกลงพื้นเมื่อใดก็จะทวีขึ้นเรื่อยไปไม่หมดสิ้น ความที่คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมายฆ่าไม่ตายจึงทำให้อสูรทารุณเกิดหลงผิดในความเก่งกาจของตนนำมาใช้ในการกลั่นแกล้ง รังแกผู้คน เทวดาทั่วไป สุดท้ายก็คิดได้ว่าเมื่อมีอำนาจขนาดนี้แล้วครองโลกทั้งสามเลยดีกว่า เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วเหล่าเทวดา นางฟ้า ผู้ทรงศีลทั้งมวล จึงต้องนำเรื่องเข้าเฝ้าพระอิศวร เพื่อหาทางปราบอสูรทารุณ เหล่าเทวดาทั้งหลายเมื่อได้ฟังสรรพคุณของอสูรก็ไม่มีใครกล้าอาสาออกไปสู้รบเลย จนที่สุดจะทนองค์พระศรีมหาอุมาเทวี เทพสตรีแห่งสวรรค์ได้มีความประสงค์ที่จะออกปราบอสูรร้าย ซึ่งพระองค์ได้ขอพร ขอบารมีต่อองค์พระศิวะผู้เป็นเจ้า เพื่อให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แล้วจึงเสด็จเพื่อบำเพ็ญตบะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้มีฤทธิ์อำนาจปราบอสูรร้ายได้ โดยได้กระทำพิธีในอุทยานเขตแดนป่าหิมพานต์ โดยพระศรีมหาอุมาเทวีได้ทรงมอบหมายให้องคพระขันธกุมาร (สะกันทะ) รับหน้าที่ดูแลไม่ให้ใครย่างกรายเข้าไปในบริเวณพิธีโดยเด็ดขาด
เมื่อเวลาผ่านไปพระศิวะจึงทรงเสด็จเข้าไปในอุทยานเพื่อให้รู้แน่ว่าที่นั้นเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วพระองค์ก็พบกับพระขันทกุมาร โอรสองค์เล็กของพระองค์จึงทรงสอบถามว่าพระอุมาเทวีอยู่ที่ใด และจะขอเข้าพบ โอรสขันทกุมารเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวตอบไปด้วยความที่ได้ทรงรับคำสั่งจากพระอุมาเทวีก่อนเข้าบำเพ็ญตบะ ว่าไม่ให้ใครย่างกายเข้าสู่บริเวณพิธีโดยเด็ดขาด จึงทรงไม่สามารถให้องค์พระศิวรผ่านเข้าไปในพิธีได้ เมื่อเป็นดังนั้นจึงเกิดการโต้เถียงขั้น สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการต่อสู้ระหว่างองค์ขันทกุมารกับองค์พระอิศวร โดยฝ่ายพระอิศวรเป็นฝ่ายรุกไล่ และองค์ขันทกุมารเป็นฝ่ายล่าถอยและตั้งรับ เหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนักก็ถึงเวลาที่พระอุมาเทวีทรงบำเพ็ญตบะจนเสร็จพิธีได้เสรด็จออกมา แต่สิ่งที่ปรากฏกลายเป็นรูปกายที่เปลี่ยนจากเดิมเป็นพระแม่กาลี ย้อนกลับถึงการต่อสู้เมื่อสู้จนผ่านมายังพระแม่กาลี องค์ขันทกุมารเมื่อเห็นพระแม่กาลีจึงตรงเข้าหาพระแม่ และเล่าถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด โดยที่องค์ขันทกุมารเมื่อพบเห็นรูปกายพระแม่อุมาก็ทรงทราบได้ว่านี้คือพระแม่ของตน เมื่อได้ฟังคำจากโอรสองค์เล็กจึงเกิดอาการลืมตัวตาถลนออกนอกเบ้า หน้าตาดุดัน แลบลิ้นยาวน่าเกลียดหน้ากลัว ทำปากแบะกว้างเห็นเขี้ยวโง้ว มีเลือดไหลๆ ไหลจากมุมปากและตามมือและลำตัว ส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่ว ตรงเข้าหาพระอิศวรทันทีด้วยความโมโหนัก เมื่อพระอิศวรทรงเห็นถึงกับผงะและตกใจกลัววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนพระแม่กาลีก็ทรงไล่ตามเรื่อยจนพระอิศวรทรงพ้นจากเขตอุทยานไป พระแม่กาลีจึงทรงย้อนกลับไปหาพระขันทกุมาร ด้วยเห็นถึงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ไม่ยอมผิดคำสัตย์ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ถึงแม้นว่าจะเป็นถึงพระบิดาของตนก็ตาม เหตุการณ์นี้จึงเป็นที่ชื่นชมและทรงพอพระทัยยิ่งในโอรสของพระองค์
จากนั้นพระแม่กาลีจึงรีบเสด็จออกจากอุทยานเพื่อตามล่าสังหารอสูรทารุณ ซึ่งไม่นานพระแม่กาลีก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรทารุณ และด้วยฤทธิอำนาจของทั้ง 2 ฝ่าย การต่อสู้ที่ยาวนานจึงเกิดขึ้น ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของพระแม่กาลีการต่อสู้จึงดำเนินไป และเป็นจังหวะที่พระแม่ทรงใช้ดาบฟันคอสูรขาด แต่แล้วเลือดของอสูรก็หยดลงพื้นแผ่นดินกลับกลายเป็นการกลับคืนชีวิตของอสูรร้ายตนนี้โดยไม่ว่าจะฆ่าฟันกี่ครั้งเลือดหยุดสู่พื้นก็บกลับเป็นอสูรเพิ่มทวีเรื่อยๆ เมื่อเป็นดังนี้ต่อไปคงไม่มีวันฆ่าอสูรตนนี้ให้ตายเป็นแน่ พระแม่กาลีจึงคิดกลอุบายเพื่อเอาชัยชนะในครั้งนี้ให้ได้ โดยการตัดหัวอสูรพร้อมทั้งทรงดูดกินเลือดอสูรก่อนที่เลือดจะตกลงสู่พื้น เมื่อกินจนกระทั่งหมดสิ้นแล้วรูปกายของพระแม่กาลีถึงกับพุงกางด้วยความอิ่ม ในมือนั้นถือหัวของอสูรที่ตัดร้อยเป็นพวงไว้จนที่สุดของที่สุด อสูรตนนั้นจึงสิ้นฤทธิ์ลงเพราะไม่มีหยดเลือดหยดลงพื้นแล้วจึงสิ้นสุดลงเพียงนี้
ด้วยความดีพระทัยในการได้รับชัยชนะในครั้งนี้ พระแม่กาลีจึงทรงเต้นรำอย่างสำราญฤทัยที่สุด จนลืมพระองค์ไป ทรงยกเท้าขึ้นสูงหมายจะกระทืบลงบนพื้นโลก เหล่าเทวดาทั้งหลายเห็นแล้วก็กลัวว่าพระแม่กาลีจะกระทืบลงบนพื้นโลกเป็นแน่ จึงเข้าเฝ้าพระอิศวรเพื่อหาทางแก้ไขโดยทันการณ์ แล้วพระอิศวรจึงทรงตระหนักได้ว่าพระแม่กาลีที่รูปกายน่าเกลียดนั้นแท้จริงแล้ว ก็คือพระศรีมหาอุมาเทวี พระมเหสีแห่งพระองค์นั้นเอง เมื่อเป็นดังนี้พระแม่กาลีก็ย่อมต้องคิดตรงกับพระองค์เป็นแน่ว่าแท้จริงแล้วพระแม่กาลีก็ต้องทรงเกรงใจ และจดจำพระองค์ได้บ้างเป็นแน่ และแล้วพระอิศวรจึงเสด็จไปพบพระแม่กาลีและทรงลงไปนอนขวางพื้นโลกไว้ ในขณะที่พระแม่กาลีกำลังดีใจพร้อมจะกระทืบเท้าลงก็พรันต้องชะงักเมื่อมองเห็นพระอิศวรผู้สวามีลงไปนอนขวางแทนอยู่ พระแม่กาลีทรงมีความเกรงใจต่อพระอิศวรผู้เป็นสวามีอย่างที่สุดจึงไม่กล้ากระทืบลงพระอุระ และหยุดการกระทำนั้นลง เหล่าเทวดาทั้งหลายทั้งมวลจึงยกย่องพระอิศวร และแม่กาลี พากันศรัทธาในพระองค์ยิ่งขั้นจากการปราบอสูรร้าย และการแก้ไขเหตุการณ์ในครั้งนี้

บทสวดอัญเชิญและบูชาพระแม่ศรีอุมามหาเทวี (พระแม่อุมา)
โอมนะมัสศิวารายะ จะ นะมัสศิวายะ ปะระวะตี ยะโฮ กัตตะการี จะ ปูระณะ ดุลรานะฮี
กะโฮ ยะฮี ยะวา กัตตุระณัม อาระคัม
ดัมบารา อาลี อาลี อาระยัน ยันนะวะฮี
บทสวดอัญเชิญและบูชาพระแม่ศรีอุมามหาเทวี (พระแม่อุมา)

โอม ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ
ทุติยัมปิ ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ
ตะติยัมปิ ตัสสะ ปาระพะตี กาลีทุรคา ปิยังมะมะ
โอม ศรีมหาเทวี สตีมหามาตา อุมาภควัมบดี ทุรคา กาลี มหามาตารี
เทวามนุษย์สะ ยักษ์สะวันทามิ เทวีมหาอิทธิโย มหิทธิกา มาตารีโอม